วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2562

หนูศัตรูพืช



           เกษตรกรจำนวนมากต้องประสบปัญหาการรุกรานเข้าทำลายของหนู ซึ่งการเข้าทำลายของสัตว์ชนิดนี้ ส่งผลเสียอย่างมากกับสวนของเรา ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่กินบริเวณกว้างมากนัก แต่ถ้ามันทำลายต้นไม้ที่รัก หรือมีราคาแพง ก็ทำให้เราเจ็บใจได้เช่นกัน  ในหัวข้อนี้เราจะมาเรียนรู้ชนิดของหนูที่ทำลายผลผลิตของเราที่มีอยู่ในประเทศไทย  และวิธีป้องกันและกำจัดหนูเพื่อเป็นแนวทางในการปรับใช้ต่อไป
1.ลักษณะทั่วไปของหนู
            หนูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก  รูปร่างทรงกระบอกมี 4 เท้า สามารถกำรงชีวิตได้ในเกือบทุกสภาพภูมิอากาศ มีความหลากหลายในเรื่องของอาหารและที่อยู่  หนูมีขนปกคลุมทุกส่วนของร่างกายยกเว้นหาง หางใช้เป็นอวัยวะช่วยให้เกิดความสมดุลเวลาปีนป่าย  ขาคู่หน้าสั้นกว่าขาคู่หลัง มีนิ้วข้างละ4นิ้ว ส่วนขาหลังมีนิ้วข้างละ5นิ้ว  หนูมีฟันกรามและใบหูที่ค่อนข้างใหญ่  หัวติดกับลำตัวจนมองเกือบไม่เห็นว่ามีคอ  และส่วนสำคัญที่สุดของหนูที่สามารถทำลายพืชผลและสิ่งของต่างๆได้อย่างมากมายมหาศาลคือ ฟันแทะ

2.ชนิดของหนูศัตรูพืช
            ลักษณะที่ใช้จำแนกชนิดของหนู คือ ลักษณะภายนอก ขนาด น้ำหนัก ลักษณะสีขน สี จำนวนเต้านม (เพศเมีย) และอื่นๆ ลักษณะเหล่านี้จะต้องดูจากหนูที่เต็มไว้แล้วเท่านั้น
            2.1 หนูพุก เป็นหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำหนวนหนูศัตรูพืชในประเทศไทย  ลักษณะสำคัญคือ หน้าสั้น ขนหลังสีดำปนเทาหรือดำตลอด ขนท้องสีเทา หางดำตลอด  ความยาวของหางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวนมกัน ที่หางมีเกล็ดหยาบ ฟันแทะคู่บนมีความกว้างรวมทั้ง 2 ซี่ เท่ากับ 4 ม.ม. หรือมากกว่า   หนูพุกชอบส่งเสียงร้องขู่เมื่อพบศัตรูหรือเมื่อจับได้  ชาวบ้านชอบรับประทานเพราะตัวขนาดใหญ่และมีเนื้อมาก หนูพุกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ


            2.1.1 หนูพุกใหญ่  มีขนาดใหญ่ที่สุดตัวโตเมไวที่ 200-800 กรัม  ขนตามลำตัวส่วนหลังมีสีดำ บางครั้งอาจมีสีน้ำตาลเข้ม  บริเวณด้านหลังมีแผงขนสีดำ จะตั้งขึ้นเห็นชัดเจนเมื่อตกใจ ชาวบ้านจึงเรียก หนูแผง เสียงขู่ร้องในลำคอดังมาก  ตีนหลังมีสีดำและยาวมาก เพศเมียมีเต้านมที่อก3คู่ ที่ท้อง 3 คู่
            2.2.2 หนูพุกเล็ก ลักษณะทั่วไปคล้ายหนูพุกใหญ่  แต่มีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักประมาณ 200 กรัม  ขนตามลำตัวส่วนหลังสีเทาเข้ม ส่วนด้านท้องสีเทาอ่อน บางครั้งมีขนสีขาวขึ้นแซม ปกติหางมีสีเดียวกันตลอดทั้งหาง
2.2 หนูท้องขาว  เป็นหนูขนาดกลาง ซึ่งพบเห็นกันทั่วๆไปตามบ้าน และไร่นา มีขนบริเวณท้องมีทั้งสีเทา สีขาวครีม และสีเงิน ส่วนขนที่หลัวมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ  หรือสีน้ำตาลแดง บางชนิดมีเหลืองปนอยู่ด้วย บางชนิดมีสีขาวอมน้ำตาล หนูท้องขาวมีอยู่ 6 ชนิดคือ

            2.2.1 หนูนาใหญ่  ขนลำตัวด้านหลังสีเหลืองปนเทาหรือมีขนสีดำแซมมาก ขนบนตีนหลังขาว มีแถบดำยาว ขนท้องมีสีเงินปนขาวหรือเทาอ่อน น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัย 100-250 กรัม
หางมีสีดำตลอด ส่วนใหญ่ความยาวหางสั้นกว่าความยาวลำตัวรวมกัน มีขนสีส้มกลุ่มเล็กๆที่โคนหู ซึ่งมักพบในหนูที่ยังไม่โตเต็มวัย หนูเพศเมียมีเต้านม3คู่ที่ส่วนอก และ 3คู่ที่ส่วนท้อง
            2.2.2 หนูนาเล็ก มีน้ำหนักประมาณ 77-100 กรัม ลำตัวส่วนหลังและตีนหลังมีสีน้ำตาลคล้ำหือปนดำ นุ่มและไม่มีขนแข็งแทรก ส่วนท้องขนมีสีเทาขี้เถ้า  ความยาวหางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน หูเล็ก ส่วนจมูกทู่ เพศเมียมีเต้านม 2 คู่ที่บริเวณอกและ 3 คู่ที่บริเวณท้อง
            2.2.3 หนูท้องขาวบ้าน ปกติสีขนด้านหลังเป็นสีน้ำตาลและกลางหลังมีขนแข็งสีดำแทรกอยู่ ขนด้านท้องสีขาวครีม บางครั้งมีแถบขนสีน้ำตาลคล้ำยาวจากส่วนคอถึงกลางอก บริเวณขนตีนหลังส่วนใหญ่ยาวและมีขนดำแทรกปะปนบ้าง หางดำตลอดและมีเกล็ดละเอียดเล็กๆและยางมากว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน จมูกแหลมจึงทำให้หน้าค่อนข้องแหลมด้วย หูใหญ่ ตาโต เพศเมียมีเต้านม 2 คู่ ที่อก และ 3คู่ที่ท้อง
            2.2.4 หนูป่ามาเลย์ ขนด้านหลังสีน้ำตาลปนเขียวมะกอกและเข้มมากขึ้นบริเวณกลางหลังถึงบั้นท้าย ขนเรียบไม่มีขนแข็งแทรกปะปน ขนด้านท้องขาวหรือปนเทาจางๆเพศเมียมีเต้านม2คู่ที่อกและ3คู่ที่ท้อง  เป็นหนูขนาดกลางมีน้ำหนักประมาณ 55-152 กรัม
            2.2.5 หนูจี๊ด พบตามบ้านเรือนโดยเฉาะในห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้ มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 27-60 กรัม ตาโต ตีหลังยาวประมาณ 22-26 ซม. หางยาวกว่าหัวและลำตัวมาก และมีสีเดียวตลอด ขนด้านหลังมีสีน้ำตาลแก่ ขนด้านท้องมีสีเทาเข้ม เพศเมียมีเต้านม 2 คู่บริเวณอก และ 2 คู่ ที่บริเวณท้อง

            2.2.6 หนูนอร์เวย์ มีน้ำหนักประมาณ 200-500  บางทีเรียกหนูชนิดนี้ตามแหล่งที่อยู่อาศัย จึงทำให้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คือ หนูท่อ หนูขยะ เป็นต้น  ลักษณะ หางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวรมกัน ละมี 2 สี ด้านบนสีดำกว่าด้านล่าง หน้าป้านหรือทู่กว่าหนูท้องขาวบ้าน ตีนหลังใหญ่และขาวตลอด
            2.3 หนูหริ่ง เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุด น้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 8-20กรัม ลักษณะเด่นของหนูชนิดนี้คือ ความยาวฟันกรามซี่แรกด้านบนยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของฟันกรามทั้งแถว  ขนลำตัวด้านหลังสีเทา ด้านท้องสีขาว ทางมี 2 สี เพศเมียมีเต้านม 3 คู่ที่อกและ 2 คู่ที่ท้อง ในประเทศไทยมี 2 ชนิดคือ

           2.3.1 หนูหริ่งนาหางยาว ลักษณะ สีผิวด้านหน้าของฟันแทะคู่บนมีสีแทนหรือสีน้ำตาลเข้มมากกว่าหนูหริ่งชนิดอื่นๆ ส่วนฟันแทะคู่ล่างมีสีขาว จมูกสั้น  จึงทำให้ส่วนหน้าทู่ หางยาวกว่าความยาวส่วนหัวและลำตัวรมกัน และมี2สีชัดเจนคือ สีด้านบนของหางมีสีดำ และในขณะที่ด้านล่างมีสีขาว ตีนหลังใหญ่และมีขนขาวปนเทา
          2.3.2 หนูหริ่งหางสั้น  ฟันแทะคู่โค้งงอเข้าด้านใน สีของฟันคู่ล่างขาวหรือคล้ำกว่าสีฟันของหนูหริ่งหางยาว สีผิวด้านหน้าของฟันแทะคล้ายของหนูหริ่งหางยาวแต่อ่อนกว่า จมูกยาวกว่า จึงทำให้ส่วนหน้าแหลม ตีนหลังขาว หางมี 2 สีแต่อ่อนกว่าของหนูหริ่งหายยาว และหางสั้นกว่าความยาวหัวลำตัวรวมกัน
การควบคุมหนู  แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.การป้องกันกำจัดหนูโดยไม่ใช้สารเคมี ได้แก่
-  การปรับปรุงสภาพแวดล้อม  และจัดการวัชพืชในแปลงปลูกพืช
- การลดจำนวนหนูโยใช้เครื่องดับจับหรือดักจับตาย
- การกันหนูไม่ให้เข้ามายังแปลงปลูกพืช เช่น การล้อมรั้วด้วยพลาสติก แผ่นฟอล์ย หรือลวดไฟฟ้า
- การใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่นการเลี้ยงหรืออนุรักษ์สัตว์กินหนูเป็นอาหาร เช่น แมว นก งู เป็นต้น  การใช้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคในหนู เป็นต้น
2.การป้องกันกำจัดหนูโดยใช้สารเคมี ได้แก่การลดจำหนวนหนูด้วยสารเคมีกำจัดหนู  หรือการไล่หนูด้วยสารเคมี หรือการกำจัดหนูโดยใช้สารรม
            สารเคมีกำจัดหนูแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
            -สารกำจัดหนูออกฤทธิ์เร็ว เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ หรือยาดำ ก๊าซฟอสฟีน เป็นสารออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาทและการทำงานของตับและไต ทำให้หนูตายภายใน 3-24 ชม.
            - สารกำจัดหนูออกฤทธิ์ช้า เช่น คูมาเตตราริล โบรมาดิโอโลน ไดเฟทไทอาโลน และ โฟลคูมาเฟน เป็นต้น สารออกฤทธิ์ทำให้เลือดไม่แข็ง จึงทำให้มีการไหลเวียนเลือดหรือเลือดตกในระบบอวัยวะต่างๆ

            หนูถือเป็นสัตว์ที่สร้างความสียหายให้กับผลผลิตเราก็จริง  แต่ในทางกลับกันหนูก็เป็นส่วนหนึ่งของบ่วงโซ่อาหาร เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ  ไม่ว่าจะเป็นด้านกายภาพ หรือชีวภาพเองก็ดี เพราะ ฉะนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจกำจัดหนู โดยเฉพาะวิธีที่ใช้สารเคมี ให้เรา คำนวณปริมาณความเสียหายก่อน ว่ามีมากเกินไปหรือไม่ เพราะสารเคมีที่นำมากำจัดหนูไม่เพียงแต่ออกฤทธิ์ค่าหนูเท่านั้น อาจจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ รวมถึงสัตว์เลี้ยง และตัวเราด้วย


ข้อมูลส่วนไหนผิดพลาดช่วยกันแนะนำด้วยครับ
Fond Plants lll

ลักษะการเข้าทำลายพืชของแมลง


         แมลงเป็นสิ่งมีชีวิตขาดเล็กแต่มีจำนวนมากที่สุดในโลก  บทบาทของสิ่งมีชีวิตในโลกล้วนมีความสำคัญต่อระบบนิเวศทั้งสิ้น แมลงก็เช่นกัน  ตัวอย่างเช่น ช่วยผสมเกสร เป็นอาหารของ นก ปลา หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ช่วยย่อยเศษซาก หรือกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย แต่มีแมลงเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ ถูกมนุษย์จัดให้เป็นศัตรูพืช เนื่องด้วย การกินอาหารของพวกมันมา สัมพันธ์กับอาหารของพวกเรา ถ้ามีมากเกินไป พวกมันก็จะกินอาหารของพวกเราจนหมด ฉะนั้นในหัวข้อนี้เรามาทำความรู้จักกับแมลงที่เป็นศัตรูพืชของเรากันก่อน

ลักษณะการทำลายและความเสียหายเนื่องจากแมลงศัตรูพืช
ลักษณะใบที่ถูกแมลงทำลาย
    1.ใบถูกกัดกินเว้าแหว่งจากขอบใบเข้าไปด้านใน  ส่วนใหญ่เป็นลักษณะการทำลายของหนอนผีเสื้อ เช่น หนอนกินใบส้ม หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ข้าวโพด  หนอนคืบ กะหล่ำ ตัวเต็มวัยด้วงบางชนิด เช่น แมลงค่อมทอง และ ตั๊กแตน

    2.ใบที่ถูกกัดกินเหลือแต่โครงร่างใบ  เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อและด้วงบางชนิด เช่น หนอนผีเสื้อกินใบสัก  และด้วงในกลุ่มแมลงกินูน บางชนิด

    3.ใบหงิกงอ ใบย่น ขอบใบหงิกและม้วนงอ เกิดจากการทำลายของแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยอ่อนลูกท้อ เพลี้ยไฟพริก เพลี้ยไฟดอกถั่วเหลือง เพลี้ยไฟฝ้าย และแมลงหวี่ขาวยาสูบ

    4.ใบถูกกัดกินเป็นรูพรุน  เกิดจาการทำลายของด้วงและผีเสื้อบางชนิด เช่น ด้วงกุหลาบ ด้วงหมัดผัก ด้วงเต่าแตง และหนอนใยผัก

    5.ใบถูกกัดกินเหลือครึ่งใบหรือโคนใบ ลักษณะตัดตรงคล้ายกรรไกรหรือมีดตัดออกไป  เกิดจากการทำลายของด้วงตัวเต็มวัย เช่น ด้วงงวงตัดใบมะม่วง แมลงกินูนเขียว แมลงนูนกินรากทุเรียน

    6.ใบด้านหนึ่งถูกกัดกินส่วนสีเขียวไป เกิดจากการทำลายของหนอนผีเสื้อและตัวเต็มวัยด้วงบางชนิด โดยส่วนสีเขียวของใบด้านหนึ่งถูกกัดกินไปเหลือเอาไว้เพียงเยือบางๆสีขาวของใบอีกด้านหนึ่งไว้ เช่น หนอกระทู้วัยแรกๆ และแมลงหนามดำ
    7.ใบเหี่ยวแห้งตาย  เกิดจากการทำลายของแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล เพลี้ยจักจั่นสีเขียว เพลี้ยจักจั่นผอบมะม่วง เพลี้ยอ่อนข้าวโพด เพลี้ยไฟข้าว แมลงหวี่ขาวอ้อย และแมลงหล่า

    8.ใบถูกห่อม้วนเข้าหากัน เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อ เช่น หนอนม้วนใบกล้วย หนอนม้วนใบลิ้นจี่

    9.ใบถูกชอนไช  เกิดจากการทำลายของหนอนผีเสื้อและหนอนแมลงวัน เช่น หนอนชอนใบลำไย หนอนชอนใบส้ม และหนอนแมลงวันชอนใบผัก


ลักษณะดอก ยอด ผล และฝักที่ถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย
    1.ลักษณะดอกและยอดที่ถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย
               1.1 ยอด ดอก ช่อดอก เหี่ยวแห้ง ร่วงหล่น และแคระแกร็น  เกิดจาการทำลายของแมลงพวกแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยไฟพริก เพลี้ยอ่อนชนิดต่างๆ เพลี้ยแป้ง และเพลี้ยจักจั่น  ซึ่งดูดกินน้ำเลี้ยงจากดอกและช่อดอกทำให้ส่วนที่ถูกทำลายร่วงหล่น

               1.2 ดอกถูกเจาะกิน เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อ เช่น หนอนกระทู้หอม หนอนกระทู้ผัก หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะดอกมะลิ และหนอนเจาะฝักถั่ว
               1.3 ยอดถูกห่อด้วยใยและหนอนกัดกินอยู่ภายใน  เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อ โดยถักใยดึงเอายอด หรือช่อดอกมารวมกัน แล้วกัดกินอยู่ภายในยอดหรือกลุ่มช่อดอกนั้น เช่น หนอนม้วนใบลำใย และหนอนม้วนใบถั่ว เป็นต้น
    2.ลักษณะผลและฝักที่ถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย
               2.1 ผลและฝักถูกเจาะเป็นรู เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อบางชนิด เช่น หนอนเจาะสมอฝ้าย หนอนเจาะฝักถั่วหนอนกระทู้หอม หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน และหนอนเจาะผล ซึ่งจะพบมูลของหนอนอยู่บริเวณปากรูหรือมียางไหลออกมาจากรูแผล
               2.2 ผลถูกเจาะเป็นรูเพื่อดูดกินน้ำเลี้ยงภายในผล เกิดจาการทำลายของผีเสื้อมวนหวาน โดยตัวเต็มวัยใช้ปากแทงเข้าไปดูดกินน้ำเลี้ยงในเนื้อผล ลักษณะเป็นรูเล็กๆทำให้ผลเน่าละร่างหล่น

               2.3 ผักมีลักษณะบิดเบี้ยวไม่ติดเมล็ดหรือมีลักษณะลีบ เกิดจาการทำลายของแมลงพวกปากดูด เช่น เพลี้ยไฟดอกถั่วเหลือง เพลี้ยอ่อนดำ และมวลเขียวข้าว

               2.4 ผลเน่าช้ำและร่วงหล่น  เกิดจาการทำลายของแมลงวันผลไม้ โดยหนอนแมลงวันชอนไชกัดกินภายในเนื้อผลไม้ ทำให้ผลไม้เน่าและร่วงหล่น
               2.5 ขั้วผลถูกเจาะทำลาย เกิดจาการทำลายของหนอนผีเสื้อบางชนิด เช่น หนอนเจาะขั้วผลลิ้นจี่และลำไย  โดยตัวหนอนกัดกินอยู่บริเวณขั้วผลใต้เปลือก มองไม่เห็นลักษณะการทำลายจากภายนอก
               2.6 ผลมีลักษณะนูนเป็นปุ่มปม เกิดจาการทำลายของแมลงพวกผีเสื้อ ได้แก่ หนอนฝีดาษ ทำลายอยู่ใต้เปลือกส้มโอ มะนาว ทำให้เกิดลักษณะนูนเป็นปุ่มปมขึ้นมา

ลักษณะลำต้น กิ่ง ราก และหัวที่ถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย
    1.ลำต้นถูกเจาะ เกิดจากการเข้าทำลายของแมลงพวกด้วง ผีเสื้อ และแมลงวันบางชนิด เช่น ด้วงหนวดยาว ด้วงงวงมะพร้าว ด้วงแรดมะพร้าว มอดเจาะลำต้น หนอนกออ้อย หนอนกอข้าว หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด และ หนอนแมลงวันเจาะลำต้นถั่ว

    2.ลำต้นถูกทำลายและเนื้อไม้ถูกแทนที่ด้วยดิน  เกิดจาการทำลายของปลวก ทำลายตั้งแต่รากจนถึงยอด โดยกัดกินเนื้อไม้ภายใน และนำดินมาแทนที่เนื้อไม้ ทำให้ต้นไม้เหี่ยวแห้งและยืนต้นตาย
    3.เปลือกลำต้นและกิ่งถูกเจาะกัดกิน เกิดจากการทำลายของหนอนผีเสื้อเจาะไม้วงศ์ Cossidae พบมากในลองกองและลำไย
    4.กิ่งถูกเจาะทำลาย  เกิดจากการทำลายของด้วง เช่น ด้วงหนวดยาว  เจาะกิ่งมะม่วงทำให้กิ่งที่ถูกเจาะทำลายแห้งตาย ส่วนผีเสื้อที่ทำลายพืชโดยการเจาะกิ่ง ได้แก่  หนอนผีเสื้อเจาะกิ่งกาแฟ สามารถเจาะกิ่งไม้ผลหลายชนิด ทำให้กิ่งที่ถูกเจาะทำลายแห้งตายเป็นกิ่งๆไป ในขณะที่กิ่งใกล้เคียงยังเขียวปกติอยู่
    5.ลำต้นอ่อนหรือต้นกล้าถูกกัดกิน  เกิดจาการทำลายของผีเสื้อ เช่น หนอนกระทู้กล้า กัดกินทำลายต้นกล้าทั้งต้น เหลือไว้แต่ส่วนโคนเท่านั้น

    6.รากถูกกัดทำลาย เกิดจาการทำลายของด้วง เช่น แมลงนูนหลวง ด้วงกินรากทุเรียน  นอกจากนี้ยังเกิดจาการทำลายของปลวกด้วย
    7.ส่วนหัวของพืชถูกทำลาย เกิดจาการทำลายของด้วง ผีเสื้อ และมดบางชนิด เช่น ด้วงงวงมันเทศ หนอนผีเสื้อเจาะหัวมันเทศและเสี้ยนดิน

วันพุธที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2562

รา สาเหตุของโรคพืช


    


รา​อยู่​ใน​อาณาจักร​เห็ด​รา (Fungi kingdom) ซึ่ง​มี​มาก​กว่า 100,000 ชนิด รวม​ถึง​รา​ที่​ทำ​ให้​เกิด​โรค​รา​น้ำ​ค้าง, เห็ด​ชนิด​ต่าง ๆ, รา​ที่​ทำ​ให้​เกิด​โรค​ราสนิม​ใน​พืช, และ​ยีสต์. มี​เชื้อ​รา​เพียง 100 ชนิด​เท่า​นั้น​ที่​ทราบ​กัน​ว่า​เป็น​สาเหตุ​ของ​โรค​ที่​เกิด​กับ​คน​ ​สัตว์และพืช ส่วน​รา​อื่น ๆ อีก​หลาย​ชนิด​มี​บทบาท​สำคัญ​ใน​ห่วง​โซ่​อาหาร นั่น​คือ​ทำ​หน้า​ที่​ย่อย​สลาย​สิ่ง​มี​ชีวิต​ที่​ตาย​แล้ว​และ​โดย​วิธี​นั้น​สาร​ประกอบ​ที่​จำเป็น​จึง​ถูก​นำ​กลับ​มา​ให้​พืช​ใช้​ได้​อีก. นอก​จาก​นี้ รา​กับ​พืช​ยัง​มี​ความ​สัมพันธ์​แบบ​พึ่ง​พา​อาศัย​กัน โดย​ช่วย​พืช​ดูด​ซึม​สาร​อาหาร​จาก​ดิน. และ​รา​บาง​ชนิด​เป็น​ปรสิต


    ราเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ไม่มีลำต้น ไม่มีราก ไม่มีผล หรือระบบท่อน้ำท่ออาหาร  เป็นจุลินทรีย์ที่มีลักษณะเป็นเส้นใย มีกิ่งก้านคล้ายเส้นด้าย มีนิวคลีไอ (นิวเคลียส) ไม่มีโคลโรฟิลล์ ฉะนั้นจึงไม่มีการสังเคราะห์แสง แต่มีการเจริญเติบโตโดยอาศัยการดูดกินสารประกอบต่างๆ เช่น คาร์บอน จากน้ำตาลในพืชอื่นๆ  ราส่วนมากสร้างเซลล์สืบพันธุ์ สปอร์(spore) ทั้งแบบไม่มีเพศ และมีเพศ สปอร์เหล่านี้มีทั้งเคลื่อนที่ได้และไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของรา


อาการของโรคพืชที่เกิดจากราเชื้อสาเหตุ



 1.โรคที่เกิดจากรา
         1.1 แผลจุด (spot)  ลักษณะอาการ  เป็นแผลเฉพาะแห่งบนส่วนของพืช  แผลมักมักมีรูปร่างกลมแต่อาจพบแผลเหลี่ยมได้บ้าง เกิดจากเซลล์ตายทำให้เนื้อเยื่อที่เกิดโรคยุบตัวลง แผลมีสีน้ำตาล – ดำ
         1.2 แผลเป็นตุ่มดวง (blotch) ลักษณะอาการ   พบในพืชอวบน้ำ เนื้อเยื่อที่เป็นโรคยุบตัวลงเป็นจุดบุ๋ม
         1.3 แผลไหม้ (blight,blast) ลักษณะอาการ   เนื้อเยื่อส่วนที่ถูกเชื้อเข้าทำลายเป็นสีน้ำตาลอย่างรวดเร็ว แผลมีขนาดโตกว่าแผลจุด อาจขยายลุกลามจนแสดงอาการทั่วทั้งส่วนที่เกิดโรค
         1.4 แผลแห้งตายจากปลายยอด (die-back) บริเวณส่วนปลายหรือส่วนยอดแห้งตาย และขยายลุกลามเข้าสู่บริเวณฐานของส่วนนั้น
         1.5เน่าคอดิน (damping-off) ลักษณะอาการ   เนื้อเยื่อลำต้นระดับดินของต้นกล้าพืชเกิดแผลเน่าเป็นสีน้ำตาลดำ  เนื้อเยื่อยุบตัวลงต้นกล้าล้มพับตายอย่างรวดเร็ว
         1.6 ลำต้นเน่า(stem) ลักษณะอาการ   บริเวณลำต้นและโคนต้นเกิดแผลเน่าสีน้ำตาลดำอาจขยายรอบโคนต้น  และลุกลามไปยังส่วนอื่นๆของพืชได้ อาจพบส่วนขยายพันธุ์เป็นเม็ดสีดำเล็กๆที่ผิวของบริเวณที่เกิดอาการ
         1.7รากเน่า(root rot) โคนเน่า (basal stem rot) ลักษณะอาการ   รากเน่าเป็นสีน้ำตาล-ดำ เปลือกรากอาจเปื่อยหลุดร่อน เนื้อไม้ของรากเน่าเปื่อยหรืออาจแห้งเป็นสีดำ อาการเน่าอาจขยายลุกลามขึ้นมาสู่ส่วนล่างของลำต้น ในบางกรณีรากอาจเปลี่ยนไปตามสีสาเหตุโรคที่เจริญปกคลุมส่วนที่เกิดโรค
         1.8 ยางไหล (gummosis) ลักษณะอาการ   มีของเหลวข้นสีน้ำตาลถึงสีดำไหลออกจากกิ่ง ก้าน หรือลำต้น ซึ่งพบร่องลอยปริแตกบริเวณนั้น มักพบร่วมกับอาการโคนเน่า อาจมีกลินร่วมด้วย
         1.9 เน่าและและแห้ง(soft rot,dry rot) ลักษณะอาการ อาการเน่าและทำให้เนื้อเยื่อพืชเกิดโรคเปื่อยยุ่ยมีน้ำเยิ้ม อาจมีกลิ่นหมักอาการเน่าแห้งทำให้เนื้อเยื่อพืชส่วนที่เกิดโรคหดแห้งแข็งเปลี่ยนเป็นสีดำ
         1.10 แอนแทรคโนส(anthracnose) ) ลักษณะอาการ อาการมีลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับส่วนของพืชที่เกิดโรค เช่น ใบ เนื้อเยื่อบริเวณที่ราเข้าทำลายจะเกิดลักษณะแผลจุดสีน้ำตาล เนื้อเยื่อกลางแผลอาจทะลุเรียกอาการ shot-hole ในใบอ่อนจุดแผลอาจขยายลุกลามจนเกิดอาการไหม้เป็นสีน้ำตาล กรณีที่เกิดกับผลหรือส่วนอวบน้ำเนื้อเยื่อราที่เข้าทำลายยุบตัวลง ผิวของส่วนที่มีเชื้อโรคหดย่นคล้ายหนัง มักพบส่วนขยายพันธุ์ของราเกิดเป็นตุ่มสีส้ม – ดำ ขนาดเล็กเรียงเป็นวงซ้อนกันบนส่วนที่เกิดโรค
         1.11 ราน้ำค้างราแป้ง (mildew) ลักษณะอาการ เนื้อเยื่อถูกปกคลุมด้วยส่วนขยายพันธุ์ของรา มีลักษณะเป็นขุยสีขาว ขาวอมเทา คล้ายผลแป้ง เนื้อเยื่อปริเวณที่ถูกปกคลุมเปลี่ยนเป็นสีเขียวซีดหรือสีเหลืองอาจเกิดเป็นแผลไหม้ แห้งเป็นสีน้ำตาล
         1.12 เขม่าดำ (smut)ลักษณะอาการ ส่วนที่เกิดโรคขายโตขึ้นมีเนื้อเยื่อสีขาวขุ่นบางๆห่อหุ้ม ภายในเต็มไปด้วยสปอร์สีดำ
         1.13 ราสนิม(rust) ลักษณะอาการ เนื้อเยื่อเป็นจุดแผลขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขึ้นจากผิวพืช ปกคลุมด้วยเยื่อบางๆ ต่อมาเยื่อนี้ปริแตก ภายในเต็มไปด้วยผงสปอร์สีสนิมเหล็ก
         1.14เจริญเติบโตผิดปกติ ลักษณะอาการ ต้นผอมสูงกว่าปกติ สีซีด เกิดจากมีข้องป้องยืดยาวกว่าปกติ
         1.15 เหี่ยว (wilt) ลักษณะอาการของโรคพัฒนาอย่างช้าๆเริ่มจากใบล่างของพืชเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเริ่มเหี่ยวต่อมาใบและก้านใบลู่ลง และส่วนใบบนของลำต้นเริ่มเหลืองเหี่ยวต่อมาท่อลำเลียงของพืชเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือน้ำตาลดำ

 2.ตัวอย่างราที่เป็นเชื้อสาเหตุของโรคต่างๆ
ราสาเหตุโรคพืชที่สำคัญ
    2.1รา Phytophthora palmivora (Butl.) Butl. ลักษณะอาการของโรค เช่น  รากเน่า โคนเน่า แคงเกอร์ ใบไหม้ เหี่ยว ผลเน่า กล้าเน่าใบจุด
    2.2 ราPhytophthora nicotiane Breda de Haan ลักษณะอาการของโรค เช่น เน่าคอดิน ต้นกล้าไหม้  ใบจุด ใบไหม้ ใบเน่า ผลเน่า สมอเน่า ใบร่าง เหี่ยว ยางไหล เน่าดำ ลำต้นเน่า โคนเน่า  รากเน่า
    2.3 รา Peronosclerospora sorghi (Weston Uppal) Shaw ลักษณะอาการของโรค เช่น เป็นโรคราน้ำค้าง ใบลาย
    2.4 รา Pseudoperonospora Berk.rt Curt ลักษณะอาการของโรค เป็นโรคราน้ำค้างของพืชตะกูลแตง
    2.5 รา Pythium spp. ลักษณะอาการของโรค เช่น เน่าคอดิน หรือเน่าระดับดินของต้นกล้า
    2.6รา Macrophomina phaseolina (Tassi) Goid  ลักษณะอาการของโรค เช่น เน่าดำ ต้นเน่า เน่าคอดิน รากเน่า ลำต้นกลวง เน่าแห้ง  ต้นกล้าไหม้และเหี่ยว
    2.7 รา Alternaria longipes (Ell.&Ev.) Mason ลักษณะอาการของโรค เช่น จุดสีน้ำตาล ใบจุด
    2.8 รา Pyricularia grisea (Cooke) Sacc. ลักษณะอาการของโรค เช่น ไหม้ เน่าคอร่วง
    2.9 รา Colletotrichum gloeosporioides Penz ลักษณะอาการของโรค เช่น จุดดำ ใบจุด ผลเน่า

ราสาเหตุโรคพืชทั่วไป
    2.10รา Bipolaris maydis (Nisik) Shoemaker ลักษณะอาการของโรค ใบไหม้แผลเล็ก
    2.11รา Fusarium oxysporum (Sehlecht) Snyder & Hanen f. Sp. Cubense (Smith) ลักษณะอาการของโรค เหี่ยวหรือตายพลาย
    2.12รา Oidiopsis taurica (Le’v.)Salm. ลักษณะอาการของโรค  เป็นสาเหตุของโรคราแป้ง
    2.13 รา Mycosphaerella musicola  Leach ลักษณะอาการของโรค   ใบจุดซิกาโทกา ใบขีดดำ
    2.14 รา Sclerotium  rolfsii Sacc.(anamorph) ลักษณะอาการของโรค  เน่าคอดิน กล้าไหม เหี่ยวเหลือง โคนเน่าระดับดิน ต้นเน่าแห้ง
    2.15 รา Puccinia arachidis Speg. ลักษณะอาการของโรค  เป็นสาเหตุของโรคราสนิม
    2.16 รา Ganoderma spp. ลักษณะอาการของโรคลำต้นเน่า
    2.17 รา Armillariella mellea (Vahl) Pat.  ลักษณะอาการของโรค รากเน่า