เกษตรกรจำนวนมากต้องประสบปัญหาการรุกรานเข้าทำลายของหนู
ซึ่งการเข้าทำลายของสัตว์ชนิดนี้ ส่งผลเสียอย่างมากกับสวนของเรา
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วอาจจะไม่กินบริเวณกว้างมากนัก แต่ถ้ามันทำลายต้นไม้ที่รัก
หรือมีราคาแพง ก็ทำให้เราเจ็บใจได้เช่นกัน
ในหัวข้อนี้เราจะมาเรียนรู้ชนิดของหนูที่ทำลายผลผลิตของเราที่มีอยู่ในประเทศไทย และวิธีป้องกันและกำจัดหนูเพื่อเป็นแนวทางในการปรับใช้ต่อไป
1.ลักษณะทั่วไปของหนู
หนูเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก รูปร่างทรงกระบอกมี 4 เท้า
สามารถกำรงชีวิตได้ในเกือบทุกสภาพภูมิอากาศ
มีความหลากหลายในเรื่องของอาหารและที่อยู่
หนูมีขนปกคลุมทุกส่วนของร่างกายยกเว้นหาง
หางใช้เป็นอวัยวะช่วยให้เกิดความสมดุลเวลาปีนป่าย
ขาคู่หน้าสั้นกว่าขาคู่หลัง มีนิ้วข้างละ4นิ้ว
ส่วนขาหลังมีนิ้วข้างละ5นิ้ว
หนูมีฟันกรามและใบหูที่ค่อนข้างใหญ่
หัวติดกับลำตัวจนมองเกือบไม่เห็นว่ามีคอ และส่วนสำคัญที่สุดของหนูที่สามารถทำลายพืชผลและสิ่งของต่างๆได้อย่างมากมายมหาศาลคือ
ฟันแทะ
2.ชนิดของหนูศัตรูพืช
ลักษณะที่ใช้จำแนกชนิดของหนู คือ
ลักษณะภายนอก ขนาด น้ำหนัก ลักษณะสีขน สี จำนวนเต้านม (เพศเมีย) และอื่นๆ ลักษณะเหล่านี้จะต้องดูจากหนูที่เต็มไว้แล้วเท่านั้น
2.1 หนูพุก
เป็นหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจำหนวนหนูศัตรูพืชในประเทศไทย ลักษณะสำคัญคือ หน้าสั้น
ขนหลังสีดำปนเทาหรือดำตลอด ขนท้องสีเทา หางดำตลอด ความยาวของหางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวนมกัน
ที่หางมีเกล็ดหยาบ ฟันแทะคู่บนมีความกว้างรวมทั้ง 2 ซี่ เท่ากับ 4 ม.ม.
หรือมากกว่า หนูพุกชอบส่งเสียงร้องขู่เมื่อพบศัตรูหรือเมื่อจับได้
ชาวบ้านชอบรับประทานเพราะตัวขนาดใหญ่และมีเนื้อมาก หนูพุกแบ่งออกเป็น 2
ชนิดคือ
2.1.1 หนูพุกใหญ่ มีขนาดใหญ่ที่สุดตัวโตเมไวที่ 200-800
กรัม ขนตามลำตัวส่วนหลังมีสีดำ
บางครั้งอาจมีสีน้ำตาลเข้ม บริเวณด้านหลังมีแผงขนสีดำ
จะตั้งขึ้นเห็นชัดเจนเมื่อตกใจ ชาวบ้านจึงเรียก หนูแผง เสียงขู่ร้องในลำคอดังมาก ตีนหลังมีสีดำและยาวมาก
เพศเมียมีเต้านมที่อก3คู่ ที่ท้อง 3 คู่
2.2.2 หนูพุกเล็ก ลักษณะทั่วไปคล้ายหนูพุกใหญ่ แต่มีขนาดเล็กกว่า น้ำหนักประมาณ 200 กรัม ขนตามลำตัวส่วนหลังสีเทาเข้ม
ส่วนด้านท้องสีเทาอ่อน บางครั้งมีขนสีขาวขึ้นแซม ปกติหางมีสีเดียวกันตลอดทั้งหาง
2.2
หนูท้องขาว เป็นหนูขนาดกลาง
ซึ่งพบเห็นกันทั่วๆไปตามบ้าน และไร่นา มีขนบริเวณท้องมีทั้งสีเทา สีขาวครีม
และสีเงิน ส่วนขนที่หลัวมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ
หรือสีน้ำตาลแดง บางชนิดมีเหลืองปนอยู่ด้วย บางชนิดมีสีขาวอมน้ำตาล หนูท้องขาวมีอยู่
6 ชนิดคือ
2.2.1 หนูนาใหญ่
ขนลำตัวด้านหลังสีเหลืองปนเทาหรือมีขนสีดำแซมมาก ขนบนตีนหลังขาว มีแถบดำยาว
ขนท้องมีสีเงินปนขาวหรือเทาอ่อน น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัย 100-250 กรัม
หางมีสีดำตลอด
ส่วนใหญ่ความยาวหางสั้นกว่าความยาวลำตัวรวมกัน มีขนสีส้มกลุ่มเล็กๆที่โคนหู
ซึ่งมักพบในหนูที่ยังไม่โตเต็มวัย หนูเพศเมียมีเต้านม3คู่ที่ส่วนอก และ
3คู่ที่ส่วนท้อง
2.2.2 หนูนาเล็ก มีน้ำหนักประมาณ 77-100
กรัม ลำตัวส่วนหลังและตีนหลังมีสีน้ำตาลคล้ำหือปนดำ นุ่มและไม่มีขนแข็งแทรก
ส่วนท้องขนมีสีเทาขี้เถ้า
ความยาวหางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน หูเล็ก ส่วนจมูกทู่
เพศเมียมีเต้านม 2 คู่ที่บริเวณอกและ 3 คู่ที่บริเวณท้อง
2.2.3 หนูท้องขาวบ้าน ปกติสีขนด้านหลังเป็นสีน้ำตาลและกลางหลังมีขนแข็งสีดำแทรกอยู่
ขนด้านท้องสีขาวครีม บางครั้งมีแถบขนสีน้ำตาลคล้ำยาวจากส่วนคอถึงกลางอก
บริเวณขนตีนหลังส่วนใหญ่ยาวและมีขนดำแทรกปะปนบ้าง
หางดำตลอดและมีเกล็ดละเอียดเล็กๆและยางมากว่าความยาวหัวและลำตัวรวมกัน
จมูกแหลมจึงทำให้หน้าค่อนข้องแหลมด้วย หูใหญ่ ตาโต เพศเมียมีเต้านม 2 คู่ ที่อก
และ 3คู่ที่ท้อง
2.2.4 หนูป่ามาเลย์
ขนด้านหลังสีน้ำตาลปนเขียวมะกอกและเข้มมากขึ้นบริเวณกลางหลังถึงบั้นท้าย
ขนเรียบไม่มีขนแข็งแทรกปะปน
ขนด้านท้องขาวหรือปนเทาจางๆเพศเมียมีเต้านม2คู่ที่อกและ3คู่ที่ท้อง เป็นหนูขนาดกลางมีน้ำหนักประมาณ 55-152 กรัม
2.2.5 หนูจี๊ด
พบตามบ้านเรือนโดยเฉาะในห้องเก็บของ ลิ้นชักตู้ มีน้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 27-60
กรัม ตาโต ตีหลังยาวประมาณ 22-26 ซม. หางยาวกว่าหัวและลำตัวมาก และมีสีเดียวตลอด
ขนด้านหลังมีสีน้ำตาลแก่ ขนด้านท้องมีสีเทาเข้ม เพศเมียมีเต้านม 2 คู่บริเวณอก และ
2 คู่ ที่บริเวณท้อง
2.2.6 หนูนอร์เวย์ มีน้ำหนักประมาณ
200-500 บางทีเรียกหนูชนิดนี้ตามแหล่งที่อยู่อาศัย
จึงทำให้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คือ หนูท่อ หนูขยะ เป็นต้น ลักษณะ หางสั้นกว่าความยาวหัวและลำตัวรมกัน
ละมี 2 สี ด้านบนสีดำกว่าด้านล่าง หน้าป้านหรือทู่กว่าหนูท้องขาวบ้าน
ตีนหลังใหญ่และขาวตลอด
2.3 หนูหริ่ง
เป็นหนูที่มีขนาดเล็กที่สุด น้ำหนักตัวอยู่ระหว่าง 8-20กรัม
ลักษณะเด่นของหนูชนิดนี้คือ
ความยาวฟันกรามซี่แรกด้านบนยาวมากกว่าครึ่งหนึ่งของฟันกรามทั้งแถว ขนลำตัวด้านหลังสีเทา ด้านท้องสีขาว ทางมี 2 สี
เพศเมียมีเต้านม 3 คู่ที่อกและ 2 คู่ที่ท้อง ในประเทศไทยมี 2 ชนิดคือ
2.3.1
หนูหริ่งนาหางยาว ลักษณะ
สีผิวด้านหน้าของฟันแทะคู่บนมีสีแทนหรือสีน้ำตาลเข้มมากกว่าหนูหริ่งชนิดอื่นๆ
ส่วนฟันแทะคู่ล่างมีสีขาว จมูกสั้น
จึงทำให้ส่วนหน้าทู่ หางยาวกว่าความยาวส่วนหัวและลำตัวรมกัน
และมี2สีชัดเจนคือ สีด้านบนของหางมีสีดำ และในขณะที่ด้านล่างมีสีขาว
ตีนหลังใหญ่และมีขนขาวปนเทา
2.3.2
หนูหริ่งหางสั้น
ฟันแทะคู่โค้งงอเข้าด้านใน
สีของฟันคู่ล่างขาวหรือคล้ำกว่าสีฟันของหนูหริ่งหางยาว สีผิวด้านหน้าของฟันแทะคล้ายของหนูหริ่งหางยาวแต่อ่อนกว่า
จมูกยาวกว่า จึงทำให้ส่วนหน้าแหลม ตีนหลังขาว หางมี 2
สีแต่อ่อนกว่าของหนูหริ่งหายยาว และหางสั้นกว่าความยาวหัวลำตัวรวมกัน
การควบคุมหนู แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ
1.การป้องกันกำจัดหนูโดยไม่ใช้สารเคมี ได้แก่
- การปรับปรุงสภาพแวดล้อม และจัดการวัชพืชในแปลงปลูกพืช
-
การลดจำนวนหนูโยใช้เครื่องดับจับหรือดักจับตาย
-
การกันหนูไม่ให้เข้ามายังแปลงปลูกพืช เช่น การล้อมรั้วด้วยพลาสติก แผ่นฟอล์ย
หรือลวดไฟฟ้า
-
การใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่นการเลี้ยงหรืออนุรักษ์สัตว์กินหนูเป็นอาหาร เช่น แมว นก
งู เป็นต้น
การใช้จุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคในหนู เป็นต้น
2.การป้องกันกำจัดหนูโดยใช้สารเคมี
ได้แก่การลดจำหนวนหนูด้วยสารเคมีกำจัดหนู
หรือการไล่หนูด้วยสารเคมี หรือการกำจัดหนูโดยใช้สารรม
สารเคมีกำจัดหนูแบ่งออกเป็น 2
ประเภทคือ
-สารกำจัดหนูออกฤทธิ์เร็ว เช่น
ซิงค์ฟอสไฟด์ หรือยาดำ ก๊าซฟอสฟีน เป็นสารออกฤทธิ์ทำลายระบบประสาทและการทำงานของตับและไต
ทำให้หนูตายภายใน 3-24 ชม.
- สารกำจัดหนูออกฤทธิ์ช้า เช่น
คูมาเตตราริล โบรมาดิโอโลน ไดเฟทไทอาโลน และ โฟลคูมาเฟน เป็นต้น
สารออกฤทธิ์ทำให้เลือดไม่แข็ง จึงทำให้มีการไหลเวียนเลือดหรือเลือดตกในระบบอวัยวะต่างๆ
หนูถือเป็นสัตว์ที่สร้างความสียหายให้กับผลผลิตเราก็จริง
แต่ในทางกลับกันหนูก็เป็นส่วนหนึ่งของบ่วงโซ่อาหาร
เป็นสัตว์ที่มีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ
ไม่ว่าจะเป็นด้านกายภาพ หรือชีวภาพเองก็ดี เพราะ ฉะนั้นก่อนที่เราจะตัดสินใจกำจัดหนู
โดยเฉพาะวิธีที่ใช้สารเคมี ให้เรา คำนวณปริมาณความเสียหายก่อน
ว่ามีมากเกินไปหรือไม่
เพราะสารเคมีที่นำมากำจัดหนูไม่เพียงแต่ออกฤทธิ์ค่าหนูเท่านั้น
อาจจะส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ รวมถึงสัตว์เลี้ยง และตัวเราด้วย
ข้อมูลส่วนไหนผิดพลาดช่วยกันแนะนำด้วยครับ
Fond Plants
lll





















